♥..la connaissance..♥ - Vocaburaire avec le riz

le lapin กระต่าย

le chat แมว

le ver/la larve หนอนตัวผู้ กะ ตัวเมีย

le poussin ลูกไก่ / l'éléphant ช้าง

le soures หนู

la pule/le coq ไก่ตัวผู้ กะ ไก่ตัวเมีย

le pochon หมู(ตัวเป็นๆ)

le panda หมีแพนด้า

le démon ปีศาจ

la voiture รถยนต์

la chemise เสื้อเชิ้ต

**อ่านเสดนี่น้ำลายท่วมโต๊ะเรยล่ะสิท่า 555+

♥..le jeu..♥ - Harry Potter

วิธีการเล่น
1.รอมันโหลดให้เห็นเป็นหน้ากระดาษสีเหลือง
2.คลิกตรงหัวมุมที่เขียนไรซักอย่าง แต่มันอยู่ตรงหัวมุมอ่ะ
3.รอมันโหลดจนตัวหุ่นยนต์กระดูกขึ้น
4.รอมันจนกว่ามันจาขึ้นว่า 3 2 1 GO เท่านั้นแระ ก้อเริ่มร่ายไม้กายสิทธิ์ ให้เป็นรูปตามรูปที่ขึ้นไว้มุมขวาของหน้าจอเกม ทำให้ถูก แล้วเมื่อครบ 20 ครั้ง มันก้อจารวมคะแนนให้ดู
5.เกมนี้มีชื่อว่า เกมกองทัพดับเบิลดอร์ ซึ่งได้มาจากเว็บของเกมนี้อีกที

** ลองเล่นดูๆ

♥..MoI..♥ - Je veux vous dire que...สอบชิงทุนๆ ฝรั่งเศส

นี่เป็นภาคต่อของฉบับที่แล้วน่ะ

ภาคนี้ เสนอชื่อว่า ตะลุยสมาคมฝรั่งเศส

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2550 เป็นวันที่เราต้องไปเผชิญกะการสอบแบบแข่งขันระดับโรงเรียนเพื่อชิงทุนไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งอาทิดก่อนหน้านั้นราโคดเครียดเร้ยยยย สอบมีทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน อร้ากกก ฟังภาษาไทยยังต้องขอ 2-3 รอบ นี่เล่นไปฟังภาษาฝรั่งเศส จาตายมั้ยเนี่ย ตอนเช้าวันนั้น เราตื่นตอนตี 4เพื่อทำกิจวัตรประจำวันส่วนตัวในตอนเช้า ข้าวไม่ได้กินเร้ยยย หิวมาก หิวจนปวดหัว หิ๊วหิว หิวจนไม่หิวเรยอ่ะ พ่อขับรถพาไปส่งที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เพื่อให้พี่คนโตพาขึ้นรถไฟบีทีเอส นี่บอกไปจาน่าอายมั้ยเนี่ย นี่เปนการขึ้นบีทีเอสครั้งแรกเรยน่ะ ตอนเสียบบัตรกลัวมากด้วย กลัวมันไม่ยอมเปิดทางเข้าให้ แต่พอทำจริงแล้วก้อฉลุยส์ เบเบ ไปลงที่ศาลาแดงนัดเจอกะพี่โอ๋ แล้วพี่โอ๋ก้อพานั่งรถไปสมาคมฝรั่งเศส เข้าไปตอนแรกคิดว่า ยามหน้าประตูจาให้เราเข้ามั้ย ปรากดว่าเขาต้อนรับอย่างดีอ่ะ ไปถึงนั่นก้อมีพวกนักเรียนรร.อื่นมากันบ้างแล้ว ก้อเยอะพอควรล่ะน้องเอ๋ยย พอไปถึง เขาก้อให้ลงทะเบียน หลังจากนั้นเราก้อเข้าไปซื้อขนมปังครัวซอง กะขนมปังฝรั่งเศสมา 3 จาน น้ำอีก 1 ขวดรวมเงิน 105 บาท ถ้วน อิ่มแปล้เรย ระหว่างกิน ตาก้อคอยจับสังเกตุคนรอบข้าง เหนนักเรียนแต่ละคนก้อมากะอ.ของเค้า บางคนก้อมากะแม่ นั่งไปซักพักคนก้อเริ่มเยอะขึ้น อ.รร.อื่นเดินไปเดินมาอยู่ได้ แล้วก้อมีการข่มขวัญรร.อื่นด้วยการพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส ทำเป็นกร่างว่าของเค้านี่เก่ง โห่เอ้ยย ถ้าอ.เกรียงไปน่ะหงอแน่ (คิดไว้ในใจน่ะ) แล้วเราก้อหยิบเฟรก๊องเยิน เอ้ย เชินขึ้นมาอ่านทางสมาคมที่จัดสอบเขาประกาศว่าเริ่มสอบตอน 9.00 น. อ่า เราไปถึงตั้งแต่ 7.30 น. รอเหงือกแห้งแน่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา เพราะระหว่างนั้น เราก้อเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกในการมาครั้งนี้ด้วย ระหว่างนั้นพี่โอ๋ก้อเปิดเฟรก๊องเชิน มาแล้วก้อติวเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส พี่โอ๋บอกว่า ตอนสอบเอ็นฯน่ะ พี่เค้าต้องอ่านตั้งแต่สายของรถเมล์ยันเรือรบเรยล่ะ อร่า....เรานั่งอ่านนั่งถูไถไปได้ซักพัก ก้อถูกเรียกตัวเข้าห้องออดิทอเรียม อร้ากก ไมมานเย็นเฉียบงี้ หัวใจเต้นแรงมากเรยยย (ระหว่างทำข้อสอบจาช็อกมั้ยเนี่ย) เข้าไปนั่งตรงไหนก้อได้ แต่เขาจัดเป็นที่เว้นที่ให้สอบ ในใจนึก ห้องสอบรึโรงภาพยนต์กันแน่เนี่ย น่าจามีป๊อปคอร์นกะเป๊ปซี่น้อ เรานั่งใกล้เด็กที่มาจากร้อยเอ็ดล่ะ เป็นผู้หญิง ชื่อไรสักอย่าง นั่งปุ๊บ ก้อประเดิมด้วยทาเทียน่า มาแนะนำตัวให้พวกเรา(คนสอบ)ได้รู้จัก พูดฝรั่งเศสล้วนไม่มีซับไทย เยี่ยม ตอนแรกเรานั่งเอ๋อเรย พูดไรฟร่ะเนี่ยยย มองตาปริบๆ เด็กส่วนใหญ่ทางแถบที่มาจากพวกรร.นานาชาติ ฟังออกกันหมดเรยยย แต่ก้อมีหลายส่วนน่ะที่ทำหน้าเอ๋อ พอมาตอนหลังๆก้อเริ่มจับเป็นคำๆไป เดาๆศัพท์ไปล่ะพี่น้อง แล้วจากนั้นก้อเริ่มแจกข้อสอบ เป็นแนว DELF แต่ที่เขาเอามาให้สอบนั้นเป็น A2 คำศัพท์ช่วงหน้าหลังๆ แม่เจ้าโว้ยย สุดยอดดมาก ไรกันล่ะเนี่ย ก้อเดาๆกันไป จากนั้นเค้าก้อเริ่มเปิดเทป เร็วมากเรยอ่ะ ไม่ค่อยได้ยินด้วย หูมานเบลอๆ รู้สึกกดดันน่ะเนี่ย เขาเปิดให้ฟังเต๊กซ์ละ 2 ครั้ง มี 3 เต๊กซ์ เรยกะจามาเอาคะแนนตรงเขียน พอเปิดเทปครบหมดแล้วเค้าก้อเรียกเก็บ อันสอบฟัง แล้วก้อมาสอบเขียน โดย คุณทาเทียน่าอีกแล้วครับท่าน มาพูด เขาบอกว่าเขาจาเป็นคนถาม แล้วให้พวกคนที่มาสอบเขียนคำตอบลงในกระดาษ ประเดิมด้วยข้อแรก Comment vous appelez-vous ? ฮ่าฮ่า เชอมัปแปลสิคับพี่น้อง สบายมาก ข้อต่อไปและข้อต่อไปก้อถามเกี่ยวกะตัวนักเรียน ก้อจัดคำตอบไป พอมาถึง 3 ข้อสุดท้าย ทาเทียน่าบอกว่าจาถามเหตุผลจากตัวนักเรียน 3 ข้อ ให้เราตอบข้อละ 5 เหตุผล ข้อแรกก้อมาเรย ทำไมเราถึงเรียนภาษาฝรั่งเศส ซึ่งนี่ก้อตอบไปได้ 5 เหตุผล มาข้อสอง ถามว่าทำไมภาษาฝรั่งเศสถึงเป็นภาษาที่สวย ข้อนี้อึ้งน่ะเนี่ย ก้อพยายามถูไถตอบไป ไม่อยากบอกเร้ยยว่าตอบไรไป อายย และข้อสุดท้าย ถามว่าทำไมถึงอยากไปฝรั่งเศส เราก้อตอบไปว่าเพราะเราอยากไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนฝรั่งเศสโดยตรงกะ ฯลฯ มั่วๆไป พอสอบเสด เค้าก้อปล่อยให้เราไปกินข้าว ก้อได้พบเพื่อนใหม่มาจากต่างที่กันเรย ก้อถามกันว่าทำได้มั้ย เหนแต่ละคนก้อบอกว่ายาก เราเรยกดดันน้อยลง แต่ตอนเดินออกไปมานมีตุ๊ดคนนนึงพูดว่า หูยยย...ทำได้หมดเรยอ่ะแก ง๊ายง่าย นึกในใจ แมร่งงงี้มานคิดจากดดันกันนี่หว่า เดี๊ยะได้เตะตุ๊ดสักที (นึกในใจน่ะนึกในใจ) เราก้อออกมากินก๋วยเตี๋ยว ซื้อที่ร้านในสมาคมฝรั่งเศสนั่นแระ ก๋วยเตี๋ยวรสแบบว่าจืดสุดยอด พี่เราทั้งสองก้อเติมน้ำส้มสายชูซะน้ำก๋วยเตี๋ยวเป็นสีแดง กะให้เปรี้ยวเต็มที่ ฮาล่ะสิ พอชิมปุ๊บ ต้องกลืนน้ำตามทันที หวานม๊ากกกก เพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่าน้ำส้มสายชูฝรั่งเศสเชื่อไม่ได้ พี่ทั้งสองก้อเรยนต้องฝืนกินจนหมด (45 บาทแนะ) พอกินเสด ความเครียดเริ่มมาอีกระรอก อยากจาร้องไห้ ทำรร.เสียชื่ออ่า...จนพี่โอ๋ต้องหาเกมส์มาให้เล่นคลายเครียด ด้วยการเอากระดาษทดที่เขาแจกให้ตอนสอบมาเล่นเกมจุดล้อมเมือง มันส์มาก เพราะเล่นกัน 3 คนเรย เล่นจนฝรั่งมอง ก้อสมควรอยู่ร้อกก เพราะโต๊ะอื่นเขานั่งเครียดกันเงียบๆ หลังจากนั้นบ่ายนิดๆ เค้าก้อเริ่มเรียกให้เข้าไปในห้องออดิทอเรียม ไปดูวิดีโอฝรั่งเศส เราก้อเรยเข้าไปดู คนเต็มหมดเรย พวกอาจงอาจารย์นี่ก้อ...อ่ะน่ะ ตัวเองไปนั่งเฉยเลย ที่จิงเขาตั้งใจจาเปิดให้เด็กดูน่ะ เด็กยังเข้าไปในห้องไม่ครบ เล่นแย่งที่นั่งเด็กจนหมด เราก้อเรยต้องมานั่งข้างนอก แหวกม่านดูวิดีโอ นั่งดูจนคอเคล็ด นั่งกะเพื่อนที่มาจากร้อยเอ็ด พอตอนหลังมีคนลุก 2 ที่พอดี เราเรยชวนเพื่อนร้อยเอ็ดไปนั่งด้วยกัน ค่อยสบายขึ้นหน่อย เริ่มง่วงแล้วด้วย อยากจาหลับ แต่ก้อต้องหลับไม่ลง เมื่อเขาเริ่มประกาศรายชื่อนักเรียนที่เข้ารอบ ซู้ดด เรย นครปฐมไม่มีเรย ส่วนใหญ่เป็นกรุงเทพฯ นังตุ๊ดนั่นไม่เหนแม้แต่เงาเรย หลังจากนั้นก้อกลับสู่นครปฐมโดยพี่โอ๋ขับรถไปส่งที่สายใต้ นั่งกลับมานี่แบบว่าง่วงมากกก พอไปถึงนครปฐม เราลงก่อนพี่อุ้ย เพราะไปเรียนพิเศษต่อ

นับว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งนึงของชีวิต ได้ไปรู้อาไรๆเยอะแยะ รู้ความคืบหน้าของการเรียนการสอนของรร.อื่น รู้ว่าเราต้องขยันขึ้นอีก และรู้ว่าเราต้องสู้ต่อไป ครั้งหน้ายังมีอีก ลองใหม่ๆ ความสำเร็จเป็นของคนที่พยายาม สู้สู้!!! l-lr

♥..MoI..♥ - Je veux vous dire que...งานรับปริญญาของมหิดล 2007

Bonjour mesdames bonjour monsieur!!!


ประโยคติดปากที่เตรียมจาไปทักทายพวกผู้ใหญ่ในวันไปสอบชิงทุนไปเรียนฝรั่งเศส 1 เดือน


อาลาบัมบัมบ๊า... ซา-หวัด-ดี ทุกๆคน หลังจากที่ปล่อยให้บล็อกร้างคนน่ารักไปซะนาน และแล้วความน่ารักของดิฮั้น ก้อกลับมาทำให้บล็อกสดชื่นอีกครั้ง 555+


หายกันไปหลายวันนี้ มีเรื่องซุบซิบมาพิมพ์ให้อ่านเยอะเรยยยย

ประเดิมด้วยเรื่องแรกก้อตั้งแต่อาทิดที่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2550 ที่ผ่านมานี้ เป็นวันที่มหาวิทยาลัยมหิดลรับปริญญาบัตร ซึ่งพี่คนโตของเราก้อได้รับด้วย เรากะจาไม่ไปแร้ววเชียว เพราะต้องติวฝรั่งเศสกับอ.เกรียงฯ กะให้ญาติไปปลดปล่อยอารมณ์สุนทรีย์กันเองตามประสาคนแก่ เอ้ยย ม่ะช่ายยยย แต่อ.ท่านบอกว่าให้ไปงานรับปริญญากะครอบครัว ห้ามมาโรงเรียนเสียนี่กระไร เราเรยต้องไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตื่นตี 4 ค่ะ ตี 4 อาจจาเป็นตี 3 นิดๆก้อได้ เพราะตื่นแล้วก้อมานั่งอมขี้ฟันอ่านหนังสือ (ดันนอนไม่หลับแล้ว) แล้วก้ออาบน้ำแปรงฟันด้วยก้อได้ มาแต่งตัว และหยิบของขวัญให้พี่คนโต และหิ้วดอกไม้ขึ้นรถ ( เฮ้ย นี่น้องน่ะ ไม่ใช่คนใช้) แล้วจากนั้นตี 5 กว่า รถก้อเคลื่อนตัวออกจากจุดหยุดนิ่งด้วยความเร็วเท่าไรต้องไปถามพ่อ ไปถึงรถนี่ลื่นเชียว สบ๊ายสบาย นั่งตากแอร์ในรถเนี่ย (ที่บ้านแม่ให้เปิดเฉพาะฤดูหนาว เอ้ย ร้อน) ไปถึงที่สวนอัมพร ถ่ายรูปแช๊บๆ พอดีเหลือบไปเห็นแต่ละคนเค้าถือช่อดอกไม้กันเยอะ ด้วยความที่เด๋วทางเราจาไม่เด่น เราเรยแอบแวบไปซื้อช่อตุ๊กตามาให้พี่ (ตังแม่)ถ่ายไปถ่ายมา ก้อได้เวลาที่จาต้องเข้าไปเตรียมตัวในสวนอัมพร เรากะแม่ก้อเรยไปรอที่สนามเสือป่า อ่อ พ่อด้วยน่ะ นั่งได้ซักพักเรากะแม่ก้อลุกไปกินข้าวมันไก่ อร๊อยอร่อย แต่โค..ซูเปอร์แพงเรย แล้วพอกินเสดก้อมานั่งตรงที่เค้าถ่ายทอดสดการรับปริญญาจากข้างในสวนอัมพร รอจนแดดส่องก้นเรยย อร้ากกก..ร้อนมากกก...... พอประมาณ 8 โมงก้อเริ่มมีการรับปริญญา อ้อ โดยรับจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา พอถึงตอนที่พี่เรารับ แม่เราก้อให้เอากล้องวีดีโอถ่ายจากโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสด อ่า(มารู้ตอนหลังว่าถ่ายผิดคน เพราะชื่อไปก่อนคน)ถ่ายเสดก้อไปรับพี่ที่หน้าสวนอัมพร หากันจนขาเขอนี่ระบมไปหมด และแล้วเราก้อเจอกัน อ้อ ขบวนยาย ป้า ลุงน้าและพี่ๆที่เป็นญาติกันตามมาตอน 10 โมงกว่า ซึ่งรับกันเสดแล้ว มานั่งกินข้าวอิ่มแปล้เรย แล้วเราก้อยกขบวนคนยังเด็กไปถ่ายรูปกันตามซุ้ม ถ่ายกันจนฝนลงเม็ด ก้อเรยเข้าเต้นท์กะว่าพอฝนหยุดจาไปถ่ายกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม แต่พอกะลังถ่าย ฝนแม่เจ้าโว้ย ก้อเทลงมา ลุงเรยรีบซื้อเสื่อปูนั่งที่เขาเอามาขายมากันฝน ยืนกันอยู่นาน พอคราวนี้ฝนหยุด เราก้อรีบแยกย้ายกันกลับ ไว้นัดเลี้ยงกันให้พร้อมหน้าพร้อมตาทุกคน กลับมาดึ๊กดึก ง๊วงง่วง คืนนั้นเรยต้องรีบนอน



ไปครั้งนี้สนุกมากกก พวกแพทย์ของมหิดลล้อหล่อ ผู้หญิงคณะเด้นท์ก้อส๊วยสวยย ถ้าได้ลองไปแล้วจาติดใจน่ะพวกเรา เหอๆๆๆ เอริ้กๆๆๆ l-lr

♥..la connaissance..♥ - Harry Potter Et L'Ordre Du Phénix

L'été traîne en longueur pour Harry. Il guette tous les jours les infos des moldus, mais Voldemort semble pour l'instant se tenir tranquille... Quant à ses amis, Ron et Hermione, ils ne lui écrivent que des lettres très creuses, lui enjoignant surtout de rester chez lui ! Mais un soir, tout se gâte. Deux Détraqueurs l'attaquent, lui et son cousin Dudley Dursley. Harry réussit à les faire fuir, mais il reçoit aussitôt un hibou du Ministère de la Magie : il est expulsé de Poudlard pour avoir pratiqué la magie hors de Poudlard, et en présence d'un Moldu ! En effet, Cornélius Fudge, le ministre de la Magie, refuse catégoriquement de reconnaître que Vous-Savez-Qui est de retour. Il orchestre dans la Gazette du Sorcier une campagne visant à discréditer Harry, le seul témoin du retour de Voldemort (en dehors des Mangemorts), et Dumbledore... Et de toute évidence, il réussit ! La pire des années s'annonce pour Harry !
Une nuit, Harry Potter est conduit en balai à l'Ordre du Phénix. Cet Ordre secret a comme but de mettre Voldemort hors d'état de nuire. Harry rencontre Tonks et Shacklebolt, deux Aurors acquis à la cause de l'Ordre. Harry découvre que ses amis Ron et Hermione l'attendent dans la maison de Black, où se réunissent les membres de l'ordre. Harry y apprend que Voldemort essaie de s'emparer d'une "arme" mystérieuse, mais Molly Weasley interdit à Sirius de lui en dire davantage. Harry se rend ensuite à une audition devant le Magenmagot pour avoir violé le Décret sur la Restriction de l'usage de la magie par les sorciers de premier cycle. Il va donc au ministère, et y aperçoit la porte du Département des Mystères au bout d'un couloir. Harry est finalement acquitté grâce au témoignage de Mrs Figg qui avait assisté à la scène.
Le nouveau professeur de défense contre les forces du mal n'est autre que Dolores Ombrage, sous-secrétaire du ministre! Son arrivée à Poudlard fait partie du plan de Fudge pour décrédibiliser Dumbledore et l'empêcher d'agir. En effet, Ombrage refuse tout net de laisser ses élèves pratiquer la magie dans ses cours, ce qui révolte Hermione. Le ministère passe de plus en plus de décrets pour prendre les rênes de Poudlard. Ombrage est bientôt nommée grande inquisitrice, et procède à des inspections des différents professeurs. Elle a des préjugés contre les gens qui sont à demi-humains, comme Hagrid ou les centaures.
Hermione décide alors de mettre en place un club pour apprendre la défense contre les forces du mal, et suggère que Harry soit leur professeur. D'abord énervé par cette idée, Harry finit par accepter. Une trentaine d'élèves se réunissent donc régulièrement dans la Salle sur Demande, une salle magique qui se transforme à volonté. Ils prennent le nom de Armée de Dumbledore car c'est ce que craint le ministère par-dessus tout. Cependant le ministère, informé par un espion, passe immédiatement un nouveau décret pour interdire tout groupe ou organisation non-approuvé par Ombrage. Les membres de l'AD décident de continuer malgré tout.
Dans la moitié de ce cinquième tome d'Harry Potter, Arthur Weasley (le père de Ron) est attaqué par un serpent. Au même moment, à Poudlard, Harry rêve qu'il est lui-même le serpent, et voit la scène à travers l'œil du serpent. Harry se sent un peu coupable d'avoir "été" le serpent, mais sa vision permet à l'Ordre de secourir Arthur. Cependant, au cours de cet évènement, Voldemort se rend compte de l'accès qu'a Harry à ses pensées (Voldemort possédait le serpent au moment de l'attaque, c'est pourquoi Harry voit à travers les yeux du serpent), et devine que le phénomène peut fonctionner dans le sens inverse.
Dès lors, Voldemort fait tout pour leurrer Harry et l'amener à se rendre dans le Hall des Prophéties situé dans le Département des Mystères au ministère, en lui envoyant des visions dans ses rêves. Mais Dumbledore a deviné que Voldemort tenterait d'utiliser Harry. Il demande donc à Rogue de donner des cours d'Occlumencie à Harry, pour lui permettre de fermer son esprit aux rêves que Voldemort insinue en lui. Mais l'animosité de Harry envers Rogue, et la haine réciproque que ce dernier lui porte, font que Harry n'arrive jamais à maîtriser ses émotions et à fermer son esprit.
Vers la fin de l'année, l'un des membres de l'AD, Marietta Edgecombe, amie de Cho Chang, trahit le groupe et dit tout à Ombrage. Harry et d'autres membres de l'AD sont alors interrogés en présence de Dumbledore qui se sert du nom du groupe pour porter le chapeau et permettre à Harry et aux autres de ne pas se faire expulser. Mais il doit alors s'enfuir de Poudlard pour ne pas être envoyé à Azkaban. Ombrage prend alors sa place.
Lors des examens de fin d'année, Harry a une vision lors de sa BUSE d'histoire de la magie. Dans cette vision, il pénètre dans le Département des Mystères, puis dans le Hall des Prophéties, et y trouve Sirius Black, en train de se faire torturer par Voldemort! Il tente aussitôt d'avertir l'Ordre, mais McGonagall est à l'hôpital Sainte Mangouste suite à un accident au cours de la tentative d'arrestation d'Hagrid par Ombrage. Et Dumbledore n'est plus là! Harry panique et en oublie que Rogue fait partie de l'Ordre. Il tente d'utiliser la cheminée d'Ombrage pour contacter Sirius dans la maison des Black, mais tombe sur Kreatur, l'elfe de la maison qui porte un amour infini à son ancienne maîtresse: feu la mère de Sirius, une véritable militante anti-moldus en son temps. Kreatur ment alors à Harry et lui dit que Sirius n'est pas dans la maison.
Harry décide alors de se ruer au secours de Sirius, Ron, Hermione, Neville, Ginny et Luna décidant de l'accompagner. Mais comment aller au ministère de la magie? La solution est le groupe de Sombrals qui tirent les carosses entre la gare de Pré-au-lard et Poudlard. Invisibles aux yeux de ceux qui n'ont jamais vu la mort, les Sombrals sont des chevaux ailés à l'aspect reptilien et à l'air quelque peu inquiétant. Harry, qui a vu Cédric mourir, et Luna qui a été témoin de la mort de sa mère, peuvent voir les Sombrals et aident les autres à les monter. Une fois au ministère, ils vont au Département des Mystères, puis dans le Hall des Prophéties. Mais il n'y a personne...
Neville repère alors sur une des nombreuses étagères une étiquette portant le nom de Harry, au-dessous d'une des innombrables sphères qui couvrent les étagères. Harry saisit alors la sphère et la déloge de son étagère. La voix de Lucius Malefoy résonne alors dans la pénombre, des ombres s'avancent vers eux...les mangemorts émergent de l'obscurité, pointant leur baguette vers Harry et les autres. C'est alors que Harry apprend, de la bouche de Lucius Malefoy, que la sphère qu'il tient dans la main n'est rien d'autre que la Prophétie que Sybille Trelawney a faite, plus de quinze ans auparavant, à propos de Harry et de Voldemort, et qui a poussé Voldemort à essayer de tuer Harry. Cette prophétie est l'arme que Voldemort convoitait.
Harry tente dans une manœuvre désespérée de fuir, de sauver ses amis, mais les mangemorts finissent par tous les mettre hors d'état de combattre. Harry reste seul face à 10 mangemorts mais au moment où il tend la prophétie à Lucius Malefoy, Lupin, Sirius, Tonks, Shacklebolt et Maugrey font irruption dans la pièce et livrent bataille aux mangemorts. Au cours de cette bataille, Bellatrix Lestrange fait basculer Sirius de l'autre côté du voile de la Mort. Dans le chaos général, la sphère finit par se briser, mais personne ne peut entendre le contenu de la prophétie dans le vacarme ambiant. Dumbledore arrive à temps pour neutraliser les mangemorts mais Voldemort fait son appariton. Dumbledore sauve Harry et parvient à mettre en fuite Voldemort qui emmène Bellatrix Lestrange avec lui.
De retour à Poudlard, Harry laisse éclater sa rage dans le bureau de Dumbledore. Celui-ci lui révèle alors le contenu de la prophétie, car c'est à lui que Trelawney à fait la prophétie:
"Celui qui a le pouvoir de vaincre le Seigneur des Ténèbres approche...né de ceux qui l'ont par trois fois défié, né alors que le 7ème mois s'éteint...et le Seigneur des Ténèbres le marquera comme son égal, mais il aura des pouvoirs ignorés du Seigneur des Ténèbres...et l'un devra mourir aux mains de l'autre car aucun ne peut vivre tant que l'autre survit...celui qui a le pouvoir de vaincre le Seigneur des Ténèbres naîtra alors que le 7ème mois s'éteint..."
Après les événements du ministère, Fudge reconnaît le retour de Voldemort, Dumbledore retrouve son poste à Poudlard, et les Aurors se concentrent sur la lutte contre Voldemort...la deuxième guerre a commencé.